วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

วางแผนเป็นชนะไปครึ่งทาง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากโชค


วางแผนเป็น...ชนะไปครึ่งทาง

หลักการวางแผนนั่นจริงๆแล้วมีมากมาย
หลังจากการได้เรียนรู้จากประสบการณ์และจากการอ่านตามหนังสือต่างๆ กฏข้อใหญ่ๆมักจะพูดเสมอ
ให้คิดเสมอๆ การเข้าครั้งนี้จะไม่ขาดทุน (เพื่อเตือนสติให้ตัวเอง)
     รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
     ควรทำอย่างไรจึงได้กำไร (หลักอะไรบ้าง วิธีใดบ้าง เวลา จังหวะ ความเหมาะสม)
     และควรเทรดอย่างไรให้เทรดได้ผลกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
1 อย่าพยายามเทรดในช่วงที่เราไม่รู้ (ช่วงที่อ่านกราฟไม่ออก มองไม่ชัดเจน กราฟไม่สวย  ไม่แน่ใจ...)
2 อย่ารีบจนเกินไปและยื้อการขาดทุน ( อย่าปล่อยให้ความโลภยืนเหนือเหตุผล และขาดทุนเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมา)
3 อย่าต่อต้าน แนวโน้มหลัก ( กราฟมักจะมีแนวโน้มเสมอๆ ระยะสั้นๆอาจจะsideway แต่ระยะเวลามากขึ้นยังคงเป็นขาขึ้นอยู่..)
4 จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ( ทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยลง ทำอย่างไรที่จะหาวิธีในการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ เรียนรู้ความผิดพลาด ตลาดสอนอะไรเรา ตัวไหนที่มักจะทำกำไรให้เราเสมอๆ หาเหตุและผล เพราะอะไร)
5 ทำการบ้านก่อนเทรดเสมอๆ จดและบันทึกลงสมุด ( มองกราฟ วิเคราะห์กราฟจาก 1d --->4h--->1h--->30h--->15m ความสัมพันธ์เป็นยังไง เริ่มลงทุนควรเริ่มที่เท่าไหรก่อน ตามความเหมาะสมของลักษณะกราฟว่ามั่นใจแค่ไหน หลายๆคนมักจะมองข้ามการจดบันทึก จดตัวที่เราสนใจจุดไหนน่าสนใจ ถ้าเข้าแล้วจุดไหนควรออกยอมตัดขาดทุน แนวรับแถวไหนแนวต้านแถวไหน มาถึงตรงนี้ถึงเข้าเลื่อนลงไปตัดขาดทุนทันที หลายๆคนมักมองข้ามแบบแผนนี้เสมอๆ ส่วนใหญ่มักเปิดกราฟแล้วเทรดเลยเป็นวิธีคิดที่หยาบเกินไปยังไม่ละเอียดพอ)
6 มีสมาธิในช่วงนั่นๆ (เงินทำเงินควรตั้งใจและมีสมาธิ)








แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์
โดยทฤษฎีของ บัฟเฟ็ตต์ นั่นจะลงทุนโดยแนวคิด พื้นฐาน วินัย ความอดทน เป็นทฤษฎีค่อยๆรวย โดยลงแบบผู้รอบรู้
หลักสูตรรวยทางลัดไม่มี มักจะกลายเป็นหลักสูตรจนทางลัดแทน  โดยเราจะนำแนวคิดของบัฟเฟ็ตต์มาประยุกต์ใช้ทาง Technical Analysis ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ speculate (เก็งกำไร เล่นสั้น) นักลงทุนระยะกลาง
ระยะยาว ใช้ได้หมด
1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้

4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

...เดี๋ยวมาดูกันว่า วางแผนเป็น มีหลักการคิดที่ดี มีกลยุทธ์ที่ดี โดยประยุกต์ใช้แนวทาง  บัฟเฟตต์มาใช้ทาง Technical Analysis....

ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ
มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"


------------------------------------------------------------------------
อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อนโดยที่ตัวเขาเองไม่
สามารถเข้าใจได้

หลักการที่ บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ “คุณไม่จำเป็นต้อง
ทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม”

“ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์
หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"

___________________________________________

ดูตามรูปครับ 1 และ 1.1----->ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่
ซับซ้อน  

2,2.1,2-2---->อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน (ควรอดทนรอและอยู่นิ่งๆ)











จงตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและมีสติตลอดเวลา

บัฟเฟฟต์ แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่นๆตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน
ควรเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้ มีสติที่ดี คุณต้องควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา  การมีสติที่ดียังหมายถึง ควบคุมจิตใจเมื่อต้องรับมือกับสภาวะต่างๆในตลาด  สติดีที่ยังหมายถึง การมีวินัย คุณจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ และคุณจะทำอย่างไรเมื่อเป็นตลาดกระทิงหรือตลาดหมีเต็มตัว
ควรระวังสติของตัวเองในด้านความโลภและความกลัว
ควรเปลื่อนความกลัวเป็นความกล้า กล้าที่จะซื้อ-ขาย(เมื่อมองเห็นสัญญาณ)  กล้าที่จะยอมตัดขาดทุนให้ไว (เมื่อรู้ว่าผิดทาง มีการกลับตัวของทิศทาง)
ควรตัดความโลภภายในใจตัวเอง

เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของบัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “ปัญหาใหญ่และศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนก็คือตัวเขาเอง”
อย่าตื่นตกใจในความสับสนของตลาด
อย่าปาเป้าโดยการซื้อ-ขาย บ่อยๆและตลอดเวลา
(จากการวิจัยพบว่า ยิ่งซื้อ-ขายมากเท่าใดโอกาสขาดทุนก็มากเท่านั่น)
รู้จักตัวเองและตัดสินด้วยตัวคุณเอง คุณต้องมีวินัยและความอดทน
ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง
บัฟเฟตต์พูดว่า ความสำเร็จในตลาดหุ้นนั่นคุณต้องการเพียงแค่สติปัญญาธรรมดาๆ แต่ต้องการความสามารถในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ
ถ้าคุณสามารถใจเย็นอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นๆรอบข้างกำลังตกใจคุณก็เป็นต่อในการลงทุน

จงอดทน
บัฟเฟตต์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า การลงทุน ต้องมีความอดทน
ความอดทนไม่ใช้เรื่องง่ายๆแต่เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการควบคุมอารมณ์ในการลงทุน


(เมื่อรู้กราฟเป็น sideway เลี่ยงโดยการปิดโปรแกรมแล้วหาอย่างอื่นทำดีกว่า)
อย่าปล่อยให้ความอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการอดทนรอในช่วงที่ไม่น่าเข้าเทรด

เมื่อซื้อ-ขายจงใจเย็นและไม่หลงระเริงไปกับ “ความฟุ่มเฟือยที่ไม่เหมาะสม”และตกอยู่ใน
อำนาจของความกลัวเพราะถ้าแนวโน้มขึ้นก็มักจะขึ้นต่อไป แต่จงอย่าโลภเมื่อมีสัญญาณกลับ

ตัวให้เห็น(ออกให้เร็ว) มีวินัยเมื่อระบบเปลื่อนทิศทาง
เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวในหนังสือ “The Intelligent Investor” ว่าเราได้เห็นเงินจำนวน
มากตกเป็นของคนธรรมดาๆที่รู้จักการควบคุมสติให้เหมาะสมกับขบวนการลงทุนของพวกเขา

มากกว่าพวกที่มีความรู้ด้านการเงินการบัญชีและผู้เชี่ยวชาญที่ขาดความอดทน
จงซื้อ-ขายต่อเมื่อคุณมั่นใจและแน่ใจแล้วเท่านั่น ถ้ายังไม่มั่นใจควรอยู่นิ่งๆก่อน 
อย่ามองและเช็คกราฟตลอดเวลา(รอจังหวะให้เป็น)

---------------------------------
Ex.รูป1 การเทรดไม่จำเป็นต้องเข้าๆออกๆ บ่อยครั้งในหนึ่งวัน
รูป2 คุณต้องมีวินัยและความอดทน ทำการบ้านของคุณและคิดให้รอบคอบเพื่อตัวคุณเอง

วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ  
นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

1 มองหาแนวโน้ม
ในกราฟมีแค่ 3 แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพ
ใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหนทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้นmm
เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน)  
การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอกของกราฟ)  
เพราะแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะ

สั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว
--------------------------------------------------------------------------------------------------

2 เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น
พิจารณาแนวโ น้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น
แนวโน้มของตลาดจะมีทั้ง ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุน
ประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม
เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก 
''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเท
รนขาขึ้น

ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของ
เทรนขาลง

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์
ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน
อย่างไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้ว
จึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย
ของการมองหาแนวโน้มจากระยะยาว เพื่อไปเทรดระยะสั้น

รูป 1 (รูปกราฟ1dมองว่าเกิดอะไรอยู่) 2 (รูป4hว่าเกิดอะไรอยู่) 3 (รูป15เพื่อหาจังหวะเท
รด) จากเวลาเดียวกัน

และตัวอย่าง ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้านของการเดินทางแนวโน้มที่เกิดขึ้น รูป4 ของขา
ขึ้น รูป5 ของขาลง
--------------------------------------------------------------------------------------------------

3 หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม)
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง
เมื่อราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า
สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)

เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำ
เก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)

ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง
--------------------------------------------------------------------------------------------------

4 การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัว
และมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการ
ปรับฐานหรือปรับตัวของราคา

เมื่อเกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่
สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ  
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3
จังหวะที่สามของแนวโน้ม
----------------------------------------------------------------------------------------------------

5 ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้แนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้นที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น) เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอก
แนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)  
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้อง
พิจารณา
--------------------------------------------------------------------------------------------------

6 ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ – ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อน
แนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4
และ9วัน 9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น  
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น