วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

Money Managemen part 4


Money Managemen part 3




Money Managemen part 2


Money Managemen part 1



ความสำคัญของวิกฤติไซปรัส BY KOBSAK


เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไซปรัสเป็นประเทศที่ 5 ในกลุ่มสกุลเงินยูโร ที่ต้องประกาศขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ทำไมจึงต้องจับตามองวิกฤติไซปรัส
ถ้าจะว่าไปแล้ว ไซปรัสเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ในสหภาพยุโรป มีประชากรประมาณ 1 ล้านคนเท่านั้น ขนาดของเศรษฐกิจก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น เงินช่วยเหลือที่พูดกันก็ไม่ได้มาก ประมาณ 1-2 หมื่นล้านยูโร เท่านั้น ซึ่งเทียบกับที่ได้ช่วยกรีซกันไปหลายต่อหลายรอบ ครั้งหนึ่งก็เป็นแสนล้าน นับว่าเป็นเงินที่เล็กน้อยมาก
แต่สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนจับจ้องรอดูว่าจะเกิดอะไรที่ไซปรัส ก็คือ ทางออกจากวิกฤติที่ทางการยุโรปและไซปรัสช่วยเลือกกัน โดยตัดสินใจว่าจะมีการเก็บภาษีจากเงินเก็บออมของทุกคนที่ฝากไว้ในแบงก์ ในอัตรา 9.9% สำหรับคนที่มีเงินฝากเกิน 1 แสนยูโร และ 6.75% สำหรับคนที่มีเงินฝากต่ำกว่านั้น เพื่อให้ได้เงินมาเพิ่มอีก 5.8 พันล้านยูโร และนำมาช่วยลดภาระหนี้ของทางรัฐบาลอีกทางหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการ “ปล้นเงินฝาก” จากประชาชนทุกคน ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ทางการก็ได้พยายามสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ฝากทุกคนว่าเงินฝากจะได้รับการคุ้มครองและจะไม่มีความเสียหายเช่นเดียวกับกรณีของวิกฤติในประเทศอื่น ๆ ที่ผู้ฝากเงินได้รับการ ปกป้องอย่างดีอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อประกาศออกมา ทุกคนจึงตะลึง โกรธ ไม่แน่ใจ และถามว่า ใครจะเป็นคนต่อไป และถามอีกว่า จะมีการทำมาตรการเช่นนี้กับประเทศอื่น ๆ เช่น สเปน อิตาลี หากเกิดปัญหาในอนาคตอีกหรือไม่

ทำไมจึงต้องเลือกทางออกเช่นนี้ และทางเลือกอื่น ๆ คืออะไร
ที่รัฐบาลต้องตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะว่า แบงก์ในไซปรัสใหญ่มาก ใหญ่ประมาณ 8 เท่าของขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ไซปรัสได้ทำตัวเป็นแหล่งฝากเงินภาษีต่ำของทุกคนในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐีรัสเซีย เศรษฐีกรีซ (ส่วนหนึ่งเพื่อเลี่ยงภาษี ส่วนหนึ่งว่ากันว่า เพื่อฟอกเงิน) ตลอดจนคนยุโรปอื่น ๆ และแบงก์ก็ได้เอาเงินฝากที่ได้มาไปลงทุนในที่ต่าง ๆ (เนื่องจากไซปรัสเองก็ไม่ได้มีความต้องการเงินมากขนาดนั้น)
ปัญหาเริ่มมาจาก 2 ส่วน ส่วนแรกมาจากความสัมพันธ์ระหว่างไซปรัสกับกรีซ ซึ่งคนไซปรัสกว่า 80% มีพื้นเพมาจากคนกรีซ ทำให้มีความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างใกล้ชิด ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจกรีซมีปัญหา เข้าสู่ภาวะถดถอยต่อเนื่อง ไปต่อไม่ได้ มีคนตกงานจำนวนมาก การส่งออกของไซปรัสไปยังกรีซก็ได้รับผลกระทบ อีกส่วนมาจากการที่แบงก์ในไซปรัสได้ไปปล่อยสินเชื่อและลงทุนไว้ในพันธบัตรของกรีซ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วต้องมีการลดหนี้ไป 70% ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายไปจำนวนมากเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไซปรัสจึงประสบปัญหา 2 ด้าน คือ เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งเป็นเวลากว่าปีครึ่ง ทำให้รัฐบาลเองก็ขาดดุลต่อเนื่องประมาณร้อยละ 6% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนคนตกงานเพิ่มจาก 6.8% เป็น 14.7% และหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 70% ซึ่งเมื่อภาคสถาบันการเงินมีปัญหาเช่นนี้ รัฐบาลจึงไม่มีทางออก
การกู้ยืมเงินจำนวน 1 หมื่นล้านยูโรรอบนี้ จะทำให้หนี้ภาครัฐของไซปรัสเพิ่มขึ้นเป็น 93% ของ GDP ซึ่งนับว่าสูงมากอยู่แล้ว และยากที่จะดูแลให้ผ่านไปได้ ถ้าจะกู้ยืมเงินเพิ่มอีก 5.8 พันล้านยูโร เพื่อจะไม่ต้องไปเก็บจากผู้ฝากเงิน ก็จะยิ่งทำให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นไปสูงกว่า 100% ซึ่งยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
ทั้งหมดจึงนำมาถึงการที่กลุ่มเจ้าหนี้ จึงบังคับให้ไซปรัสไปหาทางออกอื่น คือ การไปเก็บภาษีจากผู้ฝากเงิน ที่เกินครึ่งเป็นผู้ฝากจากต่างประเทศ (ที่อาจจะเอาเข้ามาเพื่อฟอกเงิน) เพื่อผ่อนภาระของภาครัฐลงไปบางส่วน
ที่พลาดก็คือ การตัดสินใจที่จะไปเรียกเก็บในอัตรา 6.75% จากผู้ฝากรายย่อยที่มีเงินฝากต่ำกว่า 1 แสนยูโร ซึ่งปกติแล้วได้รับการปกป้องจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากของไซปรัส เพื่อที่ว่าจะไปเก็บจากผู้ฝากเงินรายใหญ่ให้อยู่ต่ำกว่า 10% ให้ได้ (ซึ่งผู้ฝากเงินรายใหญ่เหล่านี้ อาศัยไซปรัสเป็นแหล่งพักเงิน ถ้าเก็บมากๆ อาจจะมีปัญหาตามมาในอนาคต) และปัญหานี้กำลังลุกลามกลายเป็นปัญหาทางการเมือง
ด้วยเหตุนี้ ไซปรัสจึงกลายเป็นจุดที่หลายคนกำลังจับตามองว่า จะจบลงในรูปแบบไหน รัฐบาลจะเก็บรายใหญ่เพิ่มอีกเท่าไร ต้องขอความช่วยเหลือจากยุโรปเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะไปทางไหน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า วิกฤติในยุโรปยังไม่จบลง และยังมีปัญหาคุกรุ่นอยู่เสมอ ที่เรายังประมาทไม่ได้ ก็ขอเอาใจช่วยครับ

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556


      Forex  คืออะไร?  จุดเริ่มต้น
        
            Forex Market หรือ ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า US$ 2 trillion (2 ล้านล้านดอลลาร์) ต่อวัน เป็นตลาดการเงิน ที่มีสภาพคล่องสูงมาก ตลาดเปิดทำการซื้อขาย 24 ชั่วโมง ตลอดวันทำการ โดยหยุดการซื้อขาย แค่วัน เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
การซื้อขายใน ตลาด Forex เป็นการซื้อขายค่าเงิน โดยซื้อเงินสกุลหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ก็ขายเงินอีกสกุลหนึ่งออกไป หรือเป็นการจับคู่แลกเปลี่ยน ซื้อขายค่าสกุลเงินนั่นเอง ตัวอย่างเช่น เงินสกุลยูโร/ดอลลาร์สหรัฐฯ (EUR/USD) หรือ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น (USD/JPY) เป็นต้น


         ค่าเงินสกุลต่างๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาด Forex ที่สำคัญ มีดังนี้
 
Symbolชื่อสกุลเงิน ชื่อเรียก ประเทศตลาด เปิด-ปิด
USDดอลลาร์Buckสหรัฐอเมริกา19.00-03.00
EURยูโรFiberสหภาพยุโรป13.00-21.00
JPYเยนYenญี่ปุ่น06.00-14.00
GBPปอนด์Cableอังกฤษ14.00-22.00
CHFฟรังซ์Swissyสวิสเซอร์แลนด์13.00-21.00
CADดอลลาร์Loonieแคนาดา19.00-03.00
AUDดอลลาร์Aussieออสเตรเลีย05.00-12.00
NZDดอลลาร์Kiwiนิวซีแลนด์-


                 >>>>>  กราแท่งเทียน Candlestick Chart   <<<<<


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556




วีระพล บดีรัฐ (weerapon@set.or.th)
หัวหน้างาน - ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพหลักทรัพย์
ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI)
สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย




              “ประโยชน์ในอนาคต VS ความต้องการในวันนี้”

          งานทดลองขึ้นชื่อของ Walter Mischel ที่นักจิตวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนรู้จักกันในชื่อ “Marshmallow  Experiment” หรือการทดสอบความต้องการขนมหวานเคี้ยวหนึบในกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียน ควรเป็นแรงจูงใจให้ผู้ใหญ่หลายๆ คน มองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า... เรานั้นแตกต่างหรือคล้ายเหมือนกับเด็กน้อยก่อนวัยเรียนมากน้อยแค่ไหน

ผลประโยชน์เดี๋ยวนี้หรือรอได้ : สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน

          Mischel ได้ให้อำนาจในการตัดสินใจแก่เด็กน้อยก่อนวัยเรียนในการเลือกระหว่างขนมปังกรอบเค็มเพรทเซลคุ้กกี้ หรือมาสเมลโลขนาดยักษ์ โดยเด็กๆ จะถูกนำเข้ามาในห้องทดลองที่ปราศจากสิ่งรบกวนอื่น (นอกจากขนมตรงหน้า) ทีละคน และสามารถที่จะเลือกกินขนมได้ในทันที หรือให้รอประมาณ 15 นาที และจะได้รับขนมเพิ่มเป็น 2 เท่าผลที่ได้ คือ เด็กจำนวนหนึ่งเลือกที่จะกินในทันที และในจำนวนเด็กที่เลือกที่จะรอ ไม่ว่าจะรอด้วยวิธีปิดตาย่ำเท้าไปมา หรือลุกออกจากเก้าอี้ และออกให้ห่างจากเจ้าขนมแสนหอม พบว่า... จำนวน 1 ใน 3 รอได้สำเร็จและได้รับรางวัลตามที่ Mischel สัญญาไว้การติดตามผลในอีกเกือบ 10 ปีให้หลัง Mischel พบว่า... เด็กที่สามารถควบคุมตัวเองได้จนได้รับรางวัลมาสเมลโลชิ้นที่สอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีกว่าเด็กที่ไม่สามารถคุมตัวเองได้สำเร็จ และการควบคุมตัวเองได้มากหรือน้อยนี้จะเป็นพฤติกรรมที่ติดตัวเด็กๆ ไปจนโต

ผลประโยชน์เดี๋ยวนี้หรือรอได้ : สำหรับผู้ใหญ่

          ภายใต้พฤติกรรมการคุมตัวเองของเด็กๆ ข้างต้น หากจะมองกลับมาที่กลุ่มผู้ใหญ่ เราจะพบเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับต่อมควบคุมตัวเองของผู้ใหญ่บกพร่องได้มากมาย เช่น เมื่อผู้หญิงเริ่มรู้สึกตัวว่าอ้วน ตัดสินใจว่าจะลดความอ้วนด้วยการลดอาหาร ออกกำลัง และงดอาหารที่เป็นต้นเหตุแห่งความไม่สวยทั้งหลาย แต่คล้อยหลังจากตัดสินใจไปไม่กี่นาที เพื่อนๆ มาชวนไปกินเค้กร้านอร่อย หรือการเลือกที่จะต้องไปเข้าห้องออกกำลังกายหลังเลิกงาน กับนัดดูหนังของแฟนหนุ่มเชื่อว่า... หลายคนรู้คำตอบของคนส่วนใหญ่ดีว่า การตัดสินใจของผู้หญิงใกล้อ้วนที่ต้องการลดความอ้วนจะเป็นอย่างไรและเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่าจะเริ่มใหม่ในปีหน้าตามมาเสมอๆ ตัวอย่างที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ เมื่อเหล่ามนุษย์เงินเดือนเลือกที่จะออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณด้วยการเก็บอย่างสม่ำเสมอ ด้วยหวังให้ชีวิตในบั้นปลายมีคุณภาพที่ดีและไม่เป็นภาระคนอื่น แต่เมื่อถึงเวลาต้องเก็บออมจริงๆ กับโปรโมชั่น iPhone ลด 50% หรือ iPad3 รูปร่างบาดตาบาดใจ ทันสมัยโฉบเฉี่ยว หรือเทศกาลลดราคาประจำเดือนที่มักจะมาตอนเงินเดือนออกเสมอๆ คำตอบของหลายๆ คนคงจะไม่ได้แตกต่างไปจากผู้หญิงใกล้อ้วนในตัวอย่างแรกแต่อย่างใด
          สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันระหว่างการควบคุมตัวเองเพื่อให้ได้ประโยชน์ในอนาคตระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ คือ ผู้ใหญ่จะควบคุมตัวเองได้ดีกว่า แต่ถึงแม้จะดีกว่า ผู้ใหญ่ต้องทนกับสิ่งเร้าที่มากกว่าพร้อมด้วยเงินในกระเป๋าที่พร้อมใช้ได้ในทันทีเพื่อตอบสนองสิ่งเร้าเหล่านั้น จึงทำให้การคงความมีวินัยในการรักษาประโยชน์ในอนาคตของผู้ใหญ่ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กสักเท่าใดทางออกสำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่ประเด็นหนึ่งที่คงต้องฝากไว้เป็นกลยุทธ์สำหรับใครหลายคนที่เริ่มรู้สึกว่าการยับยั้งความต้องการในปัจจุบันเป็นปัญหาที่แก้ยาก การไม่นำพาตัวเราเข้าไปสู่สิ่งเร้าจนบ่อยเกินไป หรือการทำให้เรามีความพร้อมในการจ่ายน้อยๆ เป็นวิธีง่ายๆ แบบเด็กๆ ที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ อยู่ที่ว่าคุณอยากกินมาสเมลโลเดี๋ยวนี้ หรืออยากจะได้กิน 2 ชิ้นในอีก 15 นาทีข้างหน้า คำตอบอยู่ที่ตัวเองเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน

ที่มา : http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=2091&Itemid=1290


ถ้าคุณอยากชนะ คุณต้องเรียนรู้ที่จะแพ้ซะก่อน (Part1)

  99 เปอเซนต์ของนักเทรดเริ่มต้นจากความเชื่อที่เหมือนๆกัน และ อยู่บนเส้นทางเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีความเชื่ออยู่ 2 หลักใหญ่ๆ ที่ทำให้เทรดเดอร์หน้าใหม่มีกำลังใจและ อดทนอยู่ในตลาดได้เป็นเวลานาน ความเชื่อทั้ง 2 อย่างนั้นคือ

- อาจจะมีระบบลับสุดยอด ซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่งหนึ่ง และมีคนใช้มันทำเงินได้เป็น ล้านๆต่อวัน โดยปราศจากความเสี่ยง ซึ่งถ้าพวกเขาได้ระบบมหัศจรรย์นั้นมาไว้ในครอบครอง ฝันของพวกเขาจะกลายเป็นจริงได้

- จะต้องมีระบบที่ทำให้พวกเขาชนะตลาดได้ 100 เปอเซนต์ และทำให้พวกเขาถึงจุดหมายได้แน่นอน

ในความเป็นจริงนั้น : มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะตลาดได้ 100 เปอเซนต์ หรือล่วงรู้ตลาดได้ทั้งหมด

               ความจริงที่เรียบง่าย เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะสูญเสียเงิน และ สุญเสียแรงที่จะก้าวต่อไปสุดท้ายก็จะหายไปจากตลาด แต่คุณต้องจมอยู่กับมันซักพักนึง ก่อนที่จะก้าวเดินต่อ ทุกๆที่ต้องมีสิ่งที่ไร้สาระ หรือสิ่งที่เหมือนกับขยะมูลฝอย เช่น การรับประกันว่าเอาชนะตลาดได้ 100 เปอเซนต์ และมันทำให้ถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย

               เราต้องทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของตลาด Forex ก่อนว่า ตลาดนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวตามข่าวที่ออกมาประกาศ หรือ ปัจจัยพื้นฐาน และราคามันไม่ได้เคลื่อนที่ไปตามเส้น ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ที่มันตัดกันของบางระบบ เหตุผลง่าย ก็คือราคานั้นเคลื่อนที่ไปตาม อุปสงค์ และอุปทานของตลาด หรืออีกทางหนึ่งคือ เทรดเดอร์ และ กองทุนจะมีส่วนร่วมในการ ซื้อ ขาย จะส่งผลกระทบต่อ อุปสงค์ และอุปทาน เทรดเดอร์ทุกคนจะมีส่วนทำให้ราคาเคลื่อนไปได้

               เพราะความแตกต่างระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อ อุปสงค์ และ อุปทาน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย 100 เปอเซนต์ว่า ราคาจะเคลื่อนที่ไปทางไหน ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าเราจะตั้งกฏการเทรดได้ สมบูรณ์แบบซักแค่ไหน การเทรดครั้งแรกๆอาจจะไปได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อราคาเป็นไปตามกฏเกณฑ์ที่เราตั้งไว้ มันไม่ได้การันตีว่าราคาต้องเป็นไปในแบบที่เราคิดไว้เสมอ ราคาจะเป็นผลเนื่องมาจากเทรดเดอร์ และกองทุนทั้งหมดที่อยู่ในตลาด และพวกเขาต่างเข้าในจุดที่แน่นอน และออกในจุดที่แน่นอนเช่นกัน
             

Chart Patterns




เริ่มต้นการออมเพื่อความมั่งคั่ง


             ความร่ำรวยและชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน มักเริ่มต้นมาจากคำว่า “ออม” เสมอ 
ใครที่เริ่มเก็บออมได้เร็วกว่า   ย่อมรวยเร็วกว่า และโปรดรู้ไว้ว่า... คุณกำลังเดินหน้าสู่ความมั่งคั่ง
 ขณะเดียวกันก็ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ตัดพ้อว่าอยากออม   เต็มทีแต่กลับมีอุปสรรครายล้อม
เงินเดือนน้อยบ้างหละ ภาระทางบ้านล้นมือ ไหนจะผ่อนบ้านผ่อนรถ ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว
 แถมยังต้องให้เงินพ่อแม่ทุกเดือน แล้วแบบนี้จะเอาจากไหนไปออม

             ออมได้แน่นอน เพียงเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคิดว่า

“ใช้จ่ายก่อน... เหลือเท่าไหร่ค่อยออม” มาเป็น “ออมก่อน...   เหลือเท่าไหร่ค่อยใช้” 
ส่วนจะออมเดือนละเท่าไหร่ก็ตามใจ สูตรใครสูตรมัน
             อย่างที่บอกไปแล้วว่าออมเร็ว... รวยเร็ว ออมมาก... รวยมาก หากใครไม่อยากรู้สึกว่าการออมเป็นภาระจนเกินไปลองเริ่มเบาะๆ
 แค่เดือนละ 10%   ของรายได้ก่อน ประมาณว่าได้เงินมา 10,000 บาท ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ ให้หักไว้เป็นเงินออมก่อน 1,000 บาท จากนั้นค่อยนำส่วนที่เหลืออีก 9,000 บาท
   ไปใช้ตามอัธยาศัย


             แต่หากคุณเป็นคนที่ชอบใช้จ่าย พยายามแก้ยังไงก็ไม่หายสักที
   ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้... ทุกครั้งที่ใช้จ่าย ต้องเก็บเงินเพิ่มให้ได้ 10%
   ของเงินที่ใช้ไป เช่น ซื้อของ 2,000 บาท ก็ต้องออมเพิ่มขึ้นอีก 200 บาท
   ด้วยวิธีนี้...ไม่ว่าคุณจะใช้จ่ายมากแค่ไหน คุณก็จะได้เงินออมแถมมาครั้งละนิด    

ละหน่อยเสมอ
             แม้ช่วงแรกๆ คุณอาจรู้สึกอึดอัด ฝืนใจ หรือไม่ก็แอบขี้โกงตัวเองบ้างในบางครั้ง
 แต่พอลงมือทำไปสักพักคุณจะเริ่ม  คุ้นเคยกับการออมมากขึ้น บวกกับเห็นเม็ดเงินในบัญชีค่อยๆ
 เพิ่มขึ้นๆ ทีนี้แหละ... หากคุณอยากจะขยับยกระดับการออมเป็น 20% หรือ 30%
 ก็ทำได้ไม่ว่ากัน เพราะไม่ว่าจะออมเท่าไหร่ก็ดีทั้งนั้น ถ้ามันทำให้เงินออมของคุณค่อยๆ งอกเงย
   ออกดอกออกผลโตวันโตคืน
             มาถึงตรงนี้... คุณคงพอเห็นภาพการออมชัดเจนมากขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากแนะนำ
และคุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง   คือ “แยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีทั่วไป” 
ที่คุณใช้บัตรเอทีเอ็มเบิกถอนอยู่เป็นประจำ ซึ่งสาเหตุที่ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมากองรวมไว้ในบัญชีเดียวกั
ก็เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เมื่อมีเงินอยู่ในมือก็มักจะมีเรื่องให้ใช้จ่ายได้ตลอดเวลา   
   หากใช้เพลิน ใช้แล้วยังเห็นว่ามีเงินเหลืออยู่ก็จะใช้อีก สุดท้ายก็หมด
             หากคุณไม่อยากให้เงินออมของคุณต้องหมดไป เพียงเพราะความเพลิดเพลิน
หรือประมาทเลินเล่อในการใช้จ่าย   ให้คุณแบ่งเงินออมเป็น “4 บัญชี” โดยแยกแต่ละบัญชี
ตามวัตถุประสงค์การออมให้ชัดเจน
บัญชีแรก “บัญชี S.O.S” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “บัญชีฉุกเฉิน”
 เงินก้อนนี้เก็บไว้รับมือกับเรื่องราวไม่คาดฝันต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ
 เจ็บไข้ได้ป่วย ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือตกงานกะทันหันทางที่ดี... 
คุณควรมีเงินก้อนนี้ติดบัญชีไว้บ้างสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่าย อย่างน้อยหากเข้าตาจน
เงินก้อนนี้ก็น่าจะพอเยียวยาชีวิตคุณได้บ้าง
บัญชีที่สอง “บัญชีเงินออม : ระยะสั้นถึงระยะกลาง” 
ถ้าคุณตั้งใจจะเก็บเงินสักก้อนไว้ดาวน์บ้านดาวน์รถ ท่องเที่ยว 
หรือเก็บเงินไว้เป็นสินสอดทองหมั้นเพื่อแต่งงานกับคนรัก ก็ควรจะเจียดเงินออม
ส่วนหนึ่งมาเข้าบัญชีนี้ เพื่อเป็นบันไดให้คุณก้าวเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ
บัญชีที่สาม “บัญชีเงินออม : ระยะยาว” เป็นบัญชีเงินออมเพื่ออนาคต
ที่คุณควรเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ หรือไม่ก็เป็นค่าเล่าเรียนของลูกยามที่เขาเติบโต 
เงินก้อนนี้ต้องใช้ความตั้งใจและวินัยในการออมสูง จึงต้องกันเงินไว้ทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ 
ที่สำคัญ... เมื่อใส่เงินเข้าไปในบัญชีนี้แล้ว “จงลืมมัน” คิดเสียว่าเป็นตายร้ายดี
ก็จะไม่ยอมถอนเงินก้อนนี้ไปใช้เด็ดขาด
บัญชีที่สี่ “บัญชีเพื่อการลงทุน” หากชีวิตนี้คุณเคยแต่ฝากเงินไว้
กับธนาคารเพียงอย่างเดียวลองเปิดหูเปิดตาให้กว้างไกล 
แล้วแบ่งเงินมาเข้าบัญชีนี้ดูบ้าง วันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี 
เมื่อมีีเงินเป็นกอบเป็นกำ ค่อยถอนไปลงทุนในทางเลือกอื่นๆ 
ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อให้เงินทำงาน 
สร้างเงินให้กับเรา ^^
             ส่วนใครจะจัดสรรเงินออมเข้าบัญชีไหนมาก บัญชีไหนน้อยนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว 
คงเป็นเรื่องที่คุณต้องวางแผน   ให้สอดรับกับเงื่อนไขทางการเงินที่ตัวคุณเองย่อมรู้ดีที่สุด
ว่าควรจัดสรรยังไงถึงจะเวิร์ค           
       แต่ที่แน่ๆ เมื่อคิดจะออม... ก็ต้องออมแบบไม่มีเงื่อนไข ออมแบบมีวินัย ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
 ที่สำคัญต้องหมั่น   “ทำบัญชีรับจ่าย” เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้เงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วย 

ที่มา : http://www.tsi-thailand.org

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

Reflexivity And Market Reversal by George Soros

           “ไม่ว่ามันจะมีความซับซ้อนแค่ไหน หลักการพื้นฐานของทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ทุกอย่างนั้น ล้วนตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ตลาดจะวิ่งไปสู่จุดสมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปาทาน ผลก็คือ เมื่อทุกคนที่มีส่วนร่วมอยู่ในตลาดนั้นกระทำสิ่งต่างๆด้วยเหตุและผล ระบบเศรษฐกิจและตลาดเสรีก็จะกลับสู่ความสมดุล” 
            นักลงทุนชื่อดังก้องโลก George Soros ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า ในบางครั้งตลาดนั้นมีลักษณะที่ไม่สมดุล หรือคงที่อยู่โดยธรรมชาติของมัน เนื่องจากมีแรงบางอย่างซึ่งส่งผลให้เกิด “การสะท้อนกลับในทางลบ หรือ Negative Feedback” ซึ่งทำให้ราคานั้นวิ่งออกจากจุดสมดุลไปอย่างมาก
ทฤษฎี Reflexivity นั้นช่วยอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ และมันคือปรัชญาเบื้องหลังความคิดของเขา ในการที่จะช่วยบ่งชี้ถึงสภาพที่ไม่เสถียรของสภาวะแวดล้อมในตลาด โดยเมื่อไหร่ที่เขาเชื่อว่าราคาได้เคลื่อนที่ไปถึงจุดสุดยอด(Extreme) ของมันนั้น เขาจะเดิมพันในการวกกลับมาของราคา ซึ่งหลักฐานจากผลการลงทุนที่ผ่านมาของเขานั้น แสดงให้เห็นว่า Gorge Soros ได้ประยุกต์ใช้ทฤษฏีของเขากับการลงทุนได้เป็นอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

หมากรุกชีวิต


.................เช้าวันอาทิตย์ที่สบายๆวันหนึ่ง หลังจากอาหารเช้าแล้ว เล้ง..ตั้งใจจะจัดตู้หนังสือ เพื่อวางแผนในการอ่านอย่างจริงจังเสียที หลังจากที่เขาได้ซื้อหา สะสม ตลอดจน อ่านทิ้ง อ่านขว้าง จบบ้างไม่จบบ้างเล่มแล้วเล่มเล่าเท่าที่เวลาจะมีและโอกาสจะอำนวย............... มาหลายปี


หมายเหตุ : (เล้ง แปลว่า มังกร ชาวจีนนิยมตั้งชื่อให้กับบุตรชาย) 

เล้งกำพร้าแม่มาตั้งแต่เด็ก แม่เขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนเขาอายุเพียง 2 ขวบทำให้เขาเป็นลูกโทนและอาศัยอยู่กับพ่อคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก

..... หลังจากค่อยๆ รื้อหนังสือ จากชั้นวางในตู้ออกมากองบนโต๊ะและตามพื้น สักพัก........สาย ตาของเขาก็สะดุดกับกล่องหมากรุกจีนสภาพเก่าเก็บ ในซอกด้านในของตู้ปะปนกับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาของเขา เขาเพ่งมองอยู่นานด้วยความผูกพัน.... จากนั้น... ก็ค่อยๆดึงฝากล่องออกแล้วก็พบกับกระดาษแผ่นพับสีขาวหม่นที่ตามขอบมีรอยวิ่น พอหยิบกระดาษแผ่นพับนั้นออกมา ก็มองเห็นตัวหมากที่แกะจากไม้สีน้ำตาลอ่อนที่ ถูกคว้านผิวหน้าเป็นร่องลึกลงไปกลายเป็นตัวอักษรจีน ...... ในรูปลักษณ์ต่างๆ มากมาย