ความร่ำรวยและชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน มักเริ่มต้นมาจากคำว่า “ออม” เสมอ
ใครที่เริ่มเก็บออมได้เร็วกว่า ย่อมรวยเร็วกว่า และโปรดรู้ไว้ว่า... คุณกำลังเดินหน้าสู่ความมั่งคั่ง
ขณะเดียวกันก็ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ตัดพ้อว่าอยากออม เต็มทีแต่กลับมีอุปสรรครายล้อม
เงินเดือนน้อยบ้างหละ ภาระทางบ้านล้นมือ ไหนจะผ่อนบ้านผ่อนรถ ต้องสร้างเนื้อสร้างตัว แถมยังต้องให้เงินพ่อแม่ทุกเดือน แล้วแบบนี้จะเอาจากไหนไปออม
ออมได้แน่นอน เพียงเปลี่ยนจากเดิมที่เคยคิดว่า
“ใช้จ่ายก่อน... เหลือเท่าไหร่ค่อยออม” มาเป็น “ออมก่อน... เหลือเท่าไหร่ค่อยใช้”
ส่วนจะออมเดือนละเท่าไหร่ก็ตามใจ สูตรใครสูตรมัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่าออมเร็ว... รวยเร็ว ออมมาก... รวยมาก หากใครไม่อยากรู้สึกว่าการออมเป็นภาระจนเกินไปลองเริ่มเบาะๆ
แค่เดือนละ 10% ของรายได้ก่อน ประมาณว่าได้เงินมา 10,000 บาท ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนใช้ ให้หักไว้เป็นเงินออมก่อน 1,000 บาท จากนั้นค่อยนำส่วนที่เหลืออีก 9,000 บาท ไปใช้ตามอัธยาศัย
แต่หากคุณเป็นคนที่ชอบใช้จ่าย พยายามแก้ยังไงก็ไม่หายสักที ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้... ทุกครั้งที่ใช้จ่าย ต้องเก็บเงินเพิ่มให้ได้ 10% ของเงินที่ใช้ไป เช่น ซื้อของ 2,000 บาท ก็ต้องออมเพิ่มขึ้นอีก 200 บาท ด้วยวิธีนี้...ไม่ว่าคุณจะใช้จ่ายมากแค่ไหน คุณก็จะได้เงินออมแถมมาครั้งละนิด
ละหน่อยเสมอ | |
แม้ช่วงแรกๆ คุณอาจรู้สึกอึดอัด ฝืนใจ หรือไม่ก็แอบขี้โกงตัวเองบ้างในบางครั้ง
แต่พอลงมือทำไปสักพักคุณจะเริ่ม คุ้นเคยกับการออมมากขึ้น บวกกับเห็นเม็ดเงินในบัญชีค่อยๆ
เพิ่มขึ้นๆ ทีนี้แหละ... หากคุณอยากจะขยับยกระดับการออมเป็น 20% หรือ 30%
ก็ทำได้ไม่ว่ากัน เพราะไม่ว่าจะออมเท่าไหร่ก็ดีทั้งนั้น ถ้ามันทำให้เงินออมของคุณค่อยๆ งอกเงย ออกดอกออกผลโตวันโตคืน
มาถึงตรงนี้... คุณคงพอเห็นภาพการออมชัดเจนมากขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราอยากแนะนำ
และคุณควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือ “แยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีทั่วไป”
ที่คุณใช้บัตรเอทีเอ็มเบิกถอนอยู่เป็นประจำ ซึ่งสาเหตุที่ไม่ควรนำเงินทั้งหมดมากองรวมไว้ในบัญชีเดียวกัน
ก็เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน เมื่อมีเงินอยู่ในมือก็มักจะมีเรื่องให้ใช้จ่ายได้ตลอดเวลา
หากใช้เพลิน ใช้แล้วยังเห็นว่ามีเงินเหลืออยู่ก็จะใช้อีก สุดท้ายก็หมด
หากคุณไม่อยากให้เงินออมของคุณต้องหมดไป เพียงเพราะความเพลิดเพลิน
หรือประมาทเลินเล่อในการใช้จ่าย ให้คุณแบ่งเงินออมเป็น “4 บัญชี” โดยแยกแต่ละบัญชี
ตามวัตถุประสงค์การออมให้ชัดเจน
| บัญชีแรก “บัญชี S.O.S” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “บัญชีฉุกเฉิน”
เงินก้อนนี้เก็บไว้รับมือกับเรื่องราวไม่คาดฝันต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ
เจ็บไข้ได้ป่วย ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือตกงานกะทันหันทางที่ดี...
คุณควรมีเงินก้อนนี้ติดบัญชีไว้บ้างสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่าย อย่างน้อยหากเข้าตาจน เงินก้อนนี้ก็น่าจะพอเยียวยาชีวิตคุณได้บ้าง |
| บัญชีที่สอง “บัญชีเงินออม : ระยะสั้นถึงระยะกลาง”
ถ้าคุณตั้งใจจะเก็บเงินสักก้อนไว้ดาวน์บ้านดาวน์รถ ท่องเที่ยว
หรือเก็บเงินไว้เป็นสินสอดทองหมั้นเพื่อแต่งงานกับคนรัก ก็ควรจะเจียดเงินออม ส่วนหนึ่งมาเข้าบัญชีนี้ เพื่อเป็นบันไดให้คุณก้าวเดินไปสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นใจ |
| บัญชีที่สาม “บัญชีเงินออม : ระยะยาว” เป็นบัญชีเงินออมเพื่ออนาคต
ที่คุณควรเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ หรือไม่ก็เป็นค่าเล่าเรียนของลูกยามที่เขาเติบโต
เงินก้อนนี้ต้องใช้ความตั้งใจและวินัยในการออมสูง จึงต้องกันเงินไว้ทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ
ที่สำคัญ... เมื่อใส่เงินเข้าไปในบัญชีนี้แล้ว “จงลืมมัน” คิดเสียว่าเป็นตายร้ายดี
ก็จะไม่ยอมถอนเงินก้อนนี้ไปใช้เด็ดขาด |
| บัญชีที่สี่ “บัญชีเพื่อการลงทุน” หากชีวิตนี้คุณเคยแต่ฝากเงินไว้
กับธนาคารเพียงอย่างเดียวลองเปิดหูเปิดตาให้กว้างไกล
แล้วแบ่งเงินมาเข้าบัญชีนี้ดูบ้าง วันละนิดวันละหน่อยก็ยังดี
เมื่อมีีเงินเป็นกอบเป็นกำ ค่อยถอนไปลงทุนในทางเลือกอื่นๆ
ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อให้เงินทำงาน
สร้างเงินให้กับเรา ^^ |
ส่วนใครจะจัดสรรเงินออมเข้าบัญชีไหนมาก บัญชีไหนน้อยนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
คงเป็นเรื่องที่คุณต้องวางแผน ให้สอดรับกับเงื่อนไขทางการเงินที่ตัวคุณเองย่อมรู้ดีที่สุด
ว่าควรจัดสรรยังไงถึงจะเวิร์ค
แต่ที่แน่ๆ เมื่อคิดจะออม... ก็ต้องออมแบบไม่มีเงื่อนไข ออมแบบมีวินัย ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
ที่สำคัญต้องหมั่น “ทำบัญชีรับจ่าย” เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการใช้เงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วย
ที่มา : http://www.tsi-thailand.org
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น